ขายอาหารเสริม ราคาส่ง ขายถูกที่สุด ไม่คิดค่าส่ง
ภูมิต้านทาน ลดได้ก็เพิ่มได้
ภูมิต้านทาน
ลดได้ก็เพิ่มได้
อากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ คนไหนที่ภูมิคุ้มกัน ร่างกายแข็งแรงก็ดีไป แต่หลายคนระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้เป็นหวัดง่าย ไม่สบายบ่อย ซึ่งเรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะป้องกันไม่ได้ หัวใจสำคัญของระบบการทำงานของร่างกายอยู่ที่ Immunity หรือภูมิต้านทานนี่ละค่ะ ถ้าภูมิต้านทานดี ความเสี่ยง ที่จะเกิดโรคก็น้อยลง อยากแข็งแรงต้องหาวิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งสามารถ ทำได้ดังต่อไปนี้
สรรหาอาหารดีๆ เข้าปาก ของดีที่ว่าไม่จำเป็นต้องราคาแพง แต่เป็นอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านทาน เช่น ผัก ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง รวมไปถึง โปรตีนจากพืชและสัตว์ก็สำคัญมาก อาหารบางอย่างที่อยากจะแนะนำมากๆ คือบรรดาเห็ดทั้งหลายเนื่องจากมีสารเบตา-กลูแคนที่ช่วยต้านมะเร็งและการติดเชื้อ รวมไปถึงการลดอาการแพ้ต่าง ๆ ด้วย เวลาที่เราเกิดการแพ้ (Allergy) อะไร บางอย่าง นั่นหมายถึงการทำงานของระบบภูมิต้านทานกำลังลดลง แต่จะมาก หรือน้อยก็แล้วแต่กรณี ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก็บรรดาอาหารฟาสต์ฟู้ด น้ำหวาน น้ำอัดลม และอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารเหล่านี้ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง 1
ขจัดความเครียดอันเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เวลาที่เราเครียดซึ่งบางทีอาจ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ร่างกายจะตอบสนองด้วยการหลั่งอะดรีนาลีนและสารคอร์ติซอล ซึ่งเป็นสารเครียดออกมา ทำให้เกิดความดันสูงและหัวใจเต้นแรง ขณะเดียวกัน ระดับภูมิคุ้มกันก็จะลดต่ำลงด้วย ช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอเช่นนี้เปิดโอกาสให้ เชื้อโรคโดยเฉพาะเชื้อไวรัสโจมตีได้ง่าย เราจึงพบว่าคนที่ภูมิต้านทานอ่อนแอมัก จะเป็นหวัดง่ายและบ่อย การกำจัดความเครียดไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยาก เอิกเกริกอะไร ง่ายๆ ก็เช่น เปิดเพลงที่ชอบฟัง นั่งสมาธิ และนวดบำบัด ผลการศึกษาอันหนึ่งระบุการนวดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานดีขึ้น
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วงที่เรานอนหลับเป็นเวลาของการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกาย การอดนอนนอกจากจะเป็นการกระตุ้นร่างกายให้ตอบ สนองต่อความเครียดอีกวิธีหนึ่งแล้วยังทำให้ขัดขวางการทำงานของระบบภูมิ ต้านทานอีกด้วย ผลการศึกษาชี้กลุ่มคนที่นอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนมีแนว โน้มเป็นหวัดบ่อยมากกว่าคนที่นอนเกิน 8 ชั่วโมงเกือบ 3 เท่า สำคัญกว่าชั่วโมง การนอนที่ยาวนานคือคุณภาพในการนอน ถ้านอนยาวแล้วหลับไม่สนิทหรือหลับๆ ตื่นๆ ยังไงร่างกายก็พักผ่อนไม่พออยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าจะนอนก็ต้องหลับให้สนิท ร่างกายจึงจะพักเต็มที่
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากช่วยคลายเครียดแล้วยังทำให้แข็งแรงอีก ด้วย ถ้าทำได้ควรออกกำลังกายแบบต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง สัก 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็ดี แต่ถ้าทำไม่ได้ก็พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้มากที่สุด เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์ เดินส่งเอกสารให้แผนกอื่นแทนการจิ้มนิ้วกดแป้น พิมพ์ หรือไปไหนมาไหนหากไม่ไกลนักก็ใช้สองเท้าสัญจรแทนการใช้รถ การออก กำลังกายอีกวิธีหนึ่งที่นักวิจัยระบุว่าดีมากๆ สำหรับคนที่มีคู่คือการเมกเลิฟมีการ วิจัยที่พบว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน สูงกว่า 30 % เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ค่อย “ทำการบ้าน”
รับวิตามินดี (Vitamin D) ให้เพียงพอ บทบาทหนึ่งของวิตามินชนิดนี้นอกจาก ทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้การทำงานของระบบต้านทานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพอีกด้วย วิตามินดีพบในอาหารน้อยมาก คนที่อยู่เมืองหนาวมักมี ปัญหาขาดวิตามินดีจนต้องซื้อวิตามินดีสังเคราะห์มารับประทาน อย่างไรก็ตาม เราสามารถรับวิตามินดีได้อีกทางแบบไม่ต้องเสียเงินคือจากแสงแดดธรรมชาติ แสงแดดจะเปลี่ยนไขมันชนิดหนึ่งใต้ผิวหนังให้เป็นวิตามินดี โชคดีที่เมืองไทยมี แสงแดดเหลือเฟือ หากไม่กลัวแดดจนเกินไปก็ไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้
เสริมภูมิต้านทานด้วยโปรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ดีที่เป็น ประโยชน์ต่อร่างกาย จุลินทรีย์เหล่านี้พบเห็นในลำไส้ ทางเดินปัสสาวะ และทางเดิน หายใจส่วนบน มันทำหน้าที่เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายและป้องกันการรุกราน ของเชื้อโรคจากภายนอก อาหารที่อุดมด้วยโปรไบโอติกส์ได้แก่ โยเกิร์ต กิมจิ กะหล่ำปลีดองแบบเยอรมัน (Sauerkraut) และบรรดาผักดองเปรี้ยวทั้งหลาย อาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอีกประเภทคือบรรดาสมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น โสม เอคินาเซีย (สมุนไพรฝรั่ง) แอสทรากาลัส (สมุนไพรจีน) รวมไปถึง กระเทียม หัวหอม เป็นต้น
ฉีดวัคซีนป้องกันตัวเอง การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้น ในวัยเด็ก แต่ในวัยผู้ใหญ่ก็ทำได้เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเช้าหน้าหนาวที่โรคหวัด มักระบาด กลุ่มที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อน่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้ชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง การฉีดวัคซีนอย่างน้อยก็ช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง ลองปรึกษาและรับคำแนะนำ จากแพทย์ดูว่าจำเป็นควรต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง
โดยสรุปแล้วการเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรงอยู่ประจำทำได้ด้วยการ “กินดี อยู่ดี” กินดีก็คือการเลือกกินอาหารดีมีประโยชน์ หลายคนเข้าใจผิดว่าการ กินดีคือการซื้อวิตามินและอาหารเสริมราคาแพงมากิน ซึ่งบางทีก็ไม่จำเป็นหากเรารู้จักเลือก เราก็จะได้รับสารอาหารเพียงพอจากอาหารที่กินในแต่ละวัน ส่วนการอยู่ดีคือการใช้ชีวิตแบบไม่เสี่ยงต่อโรคภัย เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แทนน้ำ ออกกำลังกายให้เป็นนิสัย
ซึ่งการดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้จำต้องใช้ระเบียบวินัยสูงเอาการ แต่ถ้าทำได้มันก็จะให้ประโยชน์ในระยะยาวซึ่งถือว่าคุ้ม
credit หนังสือ THE FIRST WEALTH IS HEALTH กินดีอยู่ดี
ผู้เขียน วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์ ผู้ให้สาระ และ ความรู้ที่น่าสนใจ
