ขายอาหารเสริม ราคาส่ง ขายถูกที่สุด ไม่คิดค่าส่ง
หมอที่ดีที่สุด คือ ตัวคุณเอง
หยิบยกคำพูดของ “หมอเขียว” (ใจเพชร กล้าจน) แห่งสวนป่านาบุญ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร มาอ้างเพราะเห็นด้วยกับแนวคิดการแพทย์เชิงรุกที่เน้นการดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีที่สุด และเมื่อเจ็บป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ก็พยายามบำบัดด้วยวิถีธรรมชาติ ประเด็นที่อยากพูดถึงในวันนี้ คือ ทำอย่างไรเราถึงจะใช้ยาสังเคราะห์ให้น้อยที่สุด ที่ผ่านมาคนไทยบริโภคยาแผนปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี
มหาศาล !!! มิใช่เล่น
พฤติกรรมการใช้ยาของคนไทยนั้น่ากลัว ทั้งใช้ยาเกินความจำเป็น และใช้ยาไม่เหมาะสม ผุ้เขียนเห็นคนใกล้ตัวหลายคนกินยารวมกับกินลูกวาดปวดหัวนิด เมื่อยตัวหน่อยก็รีบโยนพาราเซตามอลเข้าปากทันที
การกินยาพร่ำเพรื่อไม่ใช่สิ่งดี เพราะกระบวนการเมตาบอลิซึม เพื่อให้ร่างกายดูดซึมยาไปใช้เกิดขึ้นที่ตับ การกินยาบ่อย ๆ ทำให้สารตกค้างจากยาสะสมที่ตับได้ ตับต้องทำงานหนักในการขับพิษยาเหล่านั้น ซึ่งหากเราไม่ทะนุถนอมอวัยวะชิ้นนี้ อาจนำไปสู่ภาวะตับเสื่อมในระยะยาว เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะค่ะ เมื่อเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ลองเยียวยาตัวเองด้วยธรรมชาติบำบัดดู เผื่อเห็นผล เราก็จะได้ไม่ต้องไปรบกวนตับ มาดูกันค่ะว่าเราสามารถรักษาตัวเองด้วยวิธีใดได้บ้าง
ไอ โดยเฉพาะไอแบบมีเสมหะ อาการนี้มักมากับหวัด เพราะนั่นเป็นกลไกที่ร่างกายต้องการขับเชื้อโรคออกไป ดังนั้นลองมาทำยาแก้ไอกันดีกว่า ส่วนผสมหลักคือ น้ำผึ้ง (แท้) ผสมน้ำมะนาวคนให้เข้ากันแล้วจิบ อีกสูตรก็คือ น้ำผึ้งผสมหอมหัวใหญ่ซอย คนให้เข้ากันทิ้งไว้หนึ่งคืน แล้วกรองเอาแต่น้ำ น้ำผึ้งช่วยเคลือบเยื่อบุภายในลำคอ ทำให้ลดอาการระคายเคืองอันเป็นสาเหตุของการไอได้ แต่ถ้าไอเพราะเกิดจากโรคกรดไหลย้อนหรือโรคภูมิแพ้ อันนี้ต้องรักษาที่ต้นเหตุแล้วละ
เจ็บคอ จิบน้ำผสมน้ำมะนาว หรือกลั้วคอด้วยน้ำอุ่นครึ่งแก้วผสมเกลือครึ่งช้อนชาเพื่อฆ่าเชื้อโรคในลำคอ จบชาคาโมมายล์ เพื่อสร้างความชุ่มชื้นในคอหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ซึ่งสร้างความระคายเคืองให้เยื่อบุในลำคอรับประทานอาหารอื่นๆ จำพวกซุปทั้งหลาย และดื่มน้ำเยอะๆ
ปวดศีรษะ เกิดจากสาเหตุร้อยแปดพันประการ แต่ 90% เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ (Muscular Tension) และ 6% เกิดจากการหดและคลายตัวของเส้นเลือดซึ่งทำให้ปวดแบบที่เรียกว่าไมเกรนลองวิธีพื้นฐานเพื่อช่วยลดอาการปวด ได้แก่ ประคบด้วยผ้าเย็นบริเวณหน้าผาก (แต่ถ้าปวดศีรษะเพราะเกิดจากไซนัสอักเสบ ให้ประคบด้วยผ้าร้อนเพื่อทำให้โพรงจมูกโล่ง) ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ ทุก 3 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม เนื่องจากเกลือทำให้ความดันเลือดสูงอันเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดศีรษะ จิบชาคาโมมายล์หรือเปปเปอร์มินต์เพื่อผ่อนคลายจิตใจ วิธีป้องกันอาการปวดศีรษะอีกอย่าง คือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและสวนล้านลำไส้เพื่อขจัดพิษออกจากร่างกาย
ท้องผูก เกิดจากหลายสาเหตุเช่นกัน แต่โดยมากเป็นเพราะรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ไม่มากพอ ดื่มน้ำน้อย และจาดการออกกำลังกาย ถ้าหากว่าอาหารท้องผูกที่เป็นไม่ได้เกิดจากโรคบางโรค เช่น โรคไต หรือเบาหวาน หรือไม่ได้เกิดจากการรับประทานยาบางชนิด อาทิ ยาแก้ปวดหรือยาแก้โรคซึมเศร้า หรือไม่ใช่ผลข้างเคียงจาอาหารเสริมที่เป็นธาตุเหล็กมากเกินไป สิ่งทีต้องทำก็เห็นจะเป็นการปรับพฤติกรรมการกิน และวิถีการใช้ชีวิต เริ่มด้วยการรับประทานผักและผลไม้มากๆ เพื่อเพิ่มกากใยในล้ำไส้ ดื่มน้ำให้มากพอไม่ต่ำกว่า 2.5-3 ลิตรต่อวัน ลองเม็ดแมงลักแช่น้ำครึ่งชั่วโมงแล้วดื่มน้ำตามมากๆ ที่สำคัญออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำไส้ ซึ่งจะช่วยในการบีบรัดและขับอุจจาระได้ง่ายขึ้น
นอนไม่หลับ ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด แต่ก็มีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น กาเฟอีน ดังนั้น จึงควรเลี่ยงชาและกาแฟก่อนเวลานอน และดื่มนมอุ่นๆ แทนในน้ำนมมีสารอาหาร Tryptophan ที่จะเปลี่ยนเป็น Melatonin สารเคมีอีกตัวที่ช่วยในการนอนหลับ หรือจะดื่มชาคาโมมายล์หรือชาเปปเปอร์มินต์ซึ่งเป็นชาสมุนไพรปลอดกาเฟอีน (ผสมน้ำผึ้งนิดหน่อย) ก็ช่วยให้นอนหลับเช่นกัน
เครื่องดื่มอีกชนิดที่อยากแนะนำและทำเองได้ง่ายๆ คือน้ำอบเชย นำผลอบเชยหนึ่งหยิบมือไปคั่วให้เป็นสีดำ แล้วชงกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มก่อนเข้านอนครึ่งชั่วโมงว่ากันว่าเป็นยานอนหลับที่ได้ผลไม่เลวเลยทีเดียว นอกจากนั้น เลือกรับประทานอาหารที่มีธาตุแมกนีเซียมสูง แมกนีเซียมเป็นยานอนหลับจากธรรมชาติพบมากในธัยพืช เมล็ดอัลมอนด์ และผักใบเขียวจัดทุกชนิด โดยเฉพาะใบขี้เหล็กที่ว่ากันว่าช่วยในเรื่องนอนหลับได้ดียิ่ง
ยังมีอีกหลายอาการที่เยียวยาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด การเข้าสู่แหล่งข้อมูลในสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สอบถามผู้มีความรู้หรือเสาะหาข้อมูลจากเว็บไซต์น่าเชื่อถือก็ได้ แต่โดยหลักๆ แล้วอยากให้ยึดแนวคิด Prevention is better than cure ดูแลสุขภาพให้ดีจะได้ลดความเสี่ยงไม่เจ็บป่วย การดูแลสุขภาพแบบง่ายๆ โดยเน้นที่ 3 อ. สำหรับ อ.แรกคือ “อาหาร” เลือกรับประทานอาหารดีๆ รับประทานผักผลไม้ที่มีสีสันที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ส่วน อ.ที่สองคือ “ออกกำลังกาย” เป็นสิ่งที่ควรทำให้สม่ำเสมอ สัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 3 วันวันละไม่น้อยกว่า 30 นาที และ อ.สุดท้ายคือ “อารมณ์” พยายามทำจิตใจให้แจ่มใสหลีกเลี่ยงความเครียดส่งผลให้กลไกการทำงานของร่างกายเสียสมดุล และนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆ
ถ้าหากว่าเราดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดแล้วก็ยังหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยไม่พ้นนั่นถือเรื่องสุดวิสัย ยังไงก็ยังดีกว่าการใช้ชีวิตแบบไม่บันยะบันยัง จนชักนำโรคภัยมาสู่ตัว ถึงเวลานั้นอาจมานึกเสียใจภายหลัง
มาเริ่มดูแลสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้กันเถอะ รับรองไม่มีคำว่าสายเกินไป
credit หนังสือ THE FIRST WEALTH IS HEALTH กินดีอยู่ดี
ผู้เขียน วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์ ผู้ให้สาระ และ ความรู้ที่น่าสนใจ