ขายอาหารเสริม ราคาส่ง ขายถูกที่สุด ไม่คิดค่าส่ง
ความเชื่อและความจริง เกี่ยวกับน้ำ
อย่างที่ทราบกันดีว่าน้ำมีบทบาทสำคัญแทบจะทุกกระบวนการชีวภาพในร่างกาย นับตั้งแต่ช่วยควบคุมอุณหภูมิ รักษาสภาพความดันในร่างกายไปจนถึงลำเลียงของเสียออกจากร่างกาย ประโยชน์ของมันมหาศาลแต่ดูเหมือนเราจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญของน้ำสักเท่าไร คือเราอาจจะรู้ว่าน้ำเป็นสิ่งจำเป็นแต่เรารู้มากน้อยแค่ไหนว่าต้องดื่มน้ำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์แท้จริง เพราะสิ่งที่เราคิดว่ารู้ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ดังจะเห็นได้ตามตัวอย่างต่อไปนี้
ความเชื่อ : ภาวะร่างกายขาดน้ำเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำติดต่อกันหลายวัน
ความจริง : การสูญเสียน้ำมีหลายระดับ ไม่จำเป็นต้องหลงอยู่กลางทะเลทรายหรือหลงป่าจนปากคอแห้งผาก การใช้ชีวิตประจำวันก็ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้เช่นกัน ปัญหาที่พบบ่อยคือการขาดน้ำในระดับที่ไม่รุนแรงแต่เกิดขึ้นเป็นประจำสาเหตุเกิดจากความเคยชินหรือพฤติกรรมในการกินดื่ม เช่น หลายคนไม่ชอบดื่มน้ำ เพราะขี้เกียจเข้าห้องน้ำบ่อย หรือดื่มน้ำแต่น้อยกว่าที่ร่างกายแน่นอน เช่นระบบย่อยอาหาร เนื่องจากร่างกายต้องการน้ำเพื่อใช้ในการสร้างน้ำย่อย หากเราดื่มน้ำไม่มากพอ ร่างกายสร้างน้ำย่อยได้น้อย ระบบการย่อยอาหารก็จะด้อยประสิทธิภาพลง
ความเชื่อ :ร่างกายต้องการน้ำวันละ 8 แก้ว เท่านั้น (หากคำนวณจากแก้ปริมาณ 250 มิลลิลิตร ก็ตกวันละ 2 ลิตร)
ความจริง :มาตรฐาน 8 แก้วต่อวันใช้ไม่ได้ เพราะความต้องการน้ำในแต่ละวันหรือของแต่ละคนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นคนออกกำลังกายหรือทำงานที่ใช้แรงงาน ร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก ย่อมต้องการน้ำมากกว่าปกติพฤติกรรมการกินก็ส่งผลต่อน้ำในร่างกายเช่นกัน อาหารบางอย่างก็ทำให้น้ำในร่างกายเราพร่องลงได้เยอะ เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ตลอดกระบวนการย่อยต้องใช้น้ำมากกว่าปกติในการย่อย ดูดซึม และขับของเสียส่วนเกินออก รวมไปถึงอาหารแปรรูปที่มีเกลือสูง และขนมกรุบกรอบที่รับประทานแล้วเหมือนมีฟองน้ำเข้าไปดูดซับน้ำในร่างกาย ตามหลักแล้วเราควรบริโภคเกลือวันละประมาณ 3-5 กรัม แต่ส่วนใหญ่จะรับเกลือเข้าร่างกาย 12-15 กรัม หรือมากกว่านี้ ส่วนทีเกินมา ร่างกายจำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณเยอะในการขจัด ดังนั้น สูตรสำเร็จในการดื่มน้ำ 8 แก้ว ต่อวันจึงใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้ ต้องดูด้วยว่าเรามีพฤติกรรมแบบไหนเสี่ยงต่อการขาดน้ำหรือไม่
ความเชื่อ : ในสภาวะที่ร่างกายต้องการน้ำ เครื่องดื่มทุกชนิดดับกระหายและทดแทนได้เหมือนๆ กัน
ความจริง : น้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ ชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ของเหลวเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันแน่นอน เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ อาจเป็นตัวเร่งให้ร่างกายสูญเสียน้ำเพราะกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะขณะที่เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงทำให้เลือดมีความเป็นกรด ส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้นในการกำจัดกรดส่วนเกินออกไป ส่วนน้ำอัดลมหรือน้ำหวานที่ใช้สารหวานแทนน้ำตาล รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ต่าง ๆ เหล่านี้จะมาพร้อมกับสารเคมีบางชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ ในการขจัดสารเหล่านี้ ร่างกายต้องใช้น้ำจำนวนไม่น้อยเคยเจอกรณีบางคนดื่มแต่น้ำอัดลมและน้ำหวานโดยไม่แตะน้ำเปล่าเลย คือมันอาจจะลดความกระหายได้ก็จริง แต่ถ้าดื่มทุกวัน วันละเป็นลิตร ร่างกายขับพิษออกไม่ทัน ก็เท่ากับเราค่อย ๆ สะสมพิษในร่างกาย จนถึงจุดหนึ่งร่างกายรับไม่ไหวก็ล้มป่วยลง น้ำพวกนี้ ถ้านึกอยากดื่มก็ดื่มได้ แต่อย่าให้ติดเป็นนิสัย ยังไงเสียน้ำเปล่าก็ยังเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุด
ความเชื่อ : สัญญาณเดียวที่บ่งชี้ว่าร่างกายสูญเสียน้ำและกำลังต้องการน้ำคือการกระหายน้ำ
ความจริง : อาการกระหายน้ำเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าร่างกายกำลังต้องการน้ำ ณ จุดนั้น เราสามารถดื่มน้ำเข้าไปชดเชยได้ทันที แต่ถึงสมองไม่สั่งการให้กระหายน้ำก็ไม่ได้แปลว่าเราได้รับน้ำเพียงพอ มีหลายกรณีมากที่เราละเลยการดื่มน้ำเพราะไม่รู้สึกหิวน้ำ เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ อาจจะไม่รุนแรงแต่เรื้อรังถามว่าเรายังใช้ชีวิตต่อไปได้มั้ย ก็ได้นะ แต่มันก็จะส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะภายใน สัญญาณที่ชี้บอกว่าเราอาจดื่มน้ำไม่มากพอก็เช่น นัยน์ตาแห้ง ผิวแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุย มึนศีรษะ อ่อนเพลีย ปัสสาวะไม่บ่อย (น้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อวัน) ปัสสาวะมีสีเข้ม เป็นต้น นอกจากนั้น หากมีการทดสอบทางแล็บยังจะพบอีกว่าเลือดมีความข้นหนืดขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้หิวน้ำแล้วค่อยดื่ม ติดกระบอกน้ำหรือแก้วน้ำไว้ใกล้ตัวแล้วจิบบ่อยๆ โดยเฉพาะวันที่อากาศร้อนจัด ช่วงที่ออกกำลังกาย หรือยามที่ต้องเดินทางโดยเครื่องบินเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการน้ำมากกว่าปกติ
ความเชื่อ : ดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้ร่างกายบวมน้ำ
ความจริง :อาการบวมน้ำไม่ได้เกิดจากสาเหตุของการดื่มน้ำมากเกินไปแต่เกิดจาปัจจัยอื่น เช่น เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความไม่สมดุลของฮอร์โมนและเคมีบางชนิดในร่างกาย ปัญหาอันเกี่ยวกับหัวใจ ภาวะพิษสะสม และที่น่าสนใจคือการที่ร่างกายสูญเสียน้ำก็ทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้เช่นกัน โดยมีคำอบายดังนี้ เวลาที่เราดื่มน้ำไม่มากพอกับความต้องการของร่างกาย ไตก็จะกัดน้ำเอาไว้เพื่อชดเชยน้ำส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งลักษณะบวมน้ำแบบนี้จะมาพร้อมอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และสามารถแก้ไขได้โดยการดื่มน้ำเยอะ ๆ ไม่ว่าอย่างไรการดื่มน้ำเยอะก็ดีกว่าการดื่มน้ำน้อยอยู่แล้ว แต่หากมีอาการบวมน้ำบ่อยๆ ทั้งที่เป็นคนสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงละก็ ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่าเกิดจากแรงแพ้อาหารบางชนิด
ความเชื่อ : ดื่มน้ำมากไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ความจริง : จริงบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมดถ้าเราดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร (ซึ่งก็ถือว่าเยอะ) ร่างกายจะขับน้ำส่วนเกินหรือส่วนที่ไม่ต้องการออกมาเองโดยการปัสสาวะบ่อย แต่ถ้าเราดื่มน้ำแบบบ้าคลั่งมากกว่า 12 ลิตร ในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วดมงอันนี้มีปัญหาแน่เพราะปริมาณน้ำมหาศาลจะทำให้โซเดียมในร่างกายเจือจางและส่งผลกระทบต่อแรงดันของเลือด ภาระโซเดียมต่ำเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับนักกีฬาหรือนักวิ่งมาราธอนที่สูญเสียเหงื่อเยอะหรือคนที่มีอาการท้องเสียอย่างหนัก ร่างกายเสียน้ำจำนวนมากพร้อมๆ กับแร่ธาตุในร่างกาย กรณีแบบนี้จึงควรต้องดื่มน้ำเกลือแร่ชดเชย
บทสรุปคือการดื่มน้ำมีผลต่อสุขภาพจริงแท้แน่นอน พยายามยึดหลัก Out = In คือร่างกายสูญเสียน้ำไปเท่าไร ให้ดื่มในปริมาณเท่าๆ กันเพื่อชดเชย ในแต่ละวันร่างกายสูญเสียน้ำประมาณ 2-2.5 ลิตร ไปกับปัสสาวะมากสุด รองลงมาคือเหงื่อลมหายใจออก และอุจจาระ ปริมาณน้ำที่ควรดื่มบวกลบก็ประมาณ 3 ลิตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสนิเองแต่เดินทางสายกลางนั่นแหละดีที่สุด
We may find in the long run that tinned food is a deadlier weapon than the machine-gun.
George Orwell
ในระยะยาวเราพบว่าอาหารกระป๋องเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงกว่าปืนกลเสียอีก
จอร์จ ออร์เวลล์
credit หนังสือ THE FIRST WEALTH IS HEALTH กินดีอยู่ดี
ผู้เขียน วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์ ผู้ให้สาระ และ ความรู้ที่น่าสนใจ